Football
5 ประเด็น หลังเกมแดงเดือด ลิเวอร์พูล บุกถล่ม แมนยู พังยับเยิน

5 ประเด็น หลังเกมแดงเดือด ลิเวอร์พูล บุกถล่ม แมนยู พังยับเยิน

5 ประเด็น หลังเกมแดงเดือด ลิเวอร์พูล บุกถล่ม แมนยู พังยับเยิน

เกมพรีเมียร์ลีก ศึกแดงเดือด "ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพ่ายให้กับ "หงส์แดง"ลิเวอร์พูล 5-0 ซึ่งเป็นการแพ้ ลิเวอร์พูล ที่ยับเยินที่สุดในรอบ 126 ปี โดยครั้หลังสุดต้องย้อนไปเมื่อ เดือนตุลาคม ปี 1895 สมัยยังใช้ชื่อทีมว่า นิวตัน ฮีธ พวกเขาเคยบุกไปพ่าย หงส์แดง ที่ แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 7-1

โดยเกมนี้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูจาก นาบิ เกอิต้า ในนาทีที่ 5, ดิโอโก โชต้า ในนาทีที่ 13 และได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงแฮตทริก ในนาทีที่ 38, 45+5 และ 50 หลังจากเกมนี้ ก็ทำให้มองเห็นอะไรหลายๆ อย่าง โดยมีรายละเอียดดังนี้


ที่มาภาพ : AFP

1. จุดเปลี่ยนของเกม

เริ่มเกมมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเกมขึ้นมาได้อย่างน่ากลัว ในนาทีที่ 2 มีจังหวะจบสกอร์จากจังหวะที่ เฟร็ด ตัดบอลได้ในแดนกลาง จ่ายไปให้กับ โรนัลโด้ และป้ายต่อไป กรีนวู้ด ทางขวา บรูโน่ เติมเกมขึ้นมารับบอลจาก กรีนวู้ด และตัดสินใจยิงได้บอลปริ่นหลุดเสาออกไป โดยมีเพื่อนรอในกรอบเขตโทษถึง 2 คน หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 นาที ลิเวอร์พูลกลับได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ แนวรับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกบตัวผิดพลาดจนทำให้ทีมเยือนออกนำไปก่อน จาก 2 จังหวะที่กล่าวมา ทำให้เห็นถึงการเล่นกันเป็นทีมของลิเวอร์พูล ดูจะทำได้ดีกว่า และส่งผลให้ได้ประตูที่ต้องการ


จุดเปลี่ยนอีก 1 จุดที่สำคัญคือ จังหวะใบแดงของ ปอล ป็อกบา ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงสนามมาได้เพียง 15 นาทีเท่านั้น จากจะต้องลงมาแก้เกม แต่กลับกลายเป็นว่าลงมาทำให้เกมเสียเปรียบไปกันใหญ่


ที่มาภาพ : AFP

2. สถิติมากมายของ โม ซาลาห์

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หัวหอกลิเวอร์พูล สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตัวเขาเองทั้งในระดับสโมสรและทวีป หลังช่วยสโมสรบุกถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก เกมแดงเดือด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยกลายเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ซัดประตูในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ 3 เกมติดต่อกัน โดยทำลายสถิติเดิมของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่ยิงใส่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกได้ติดต่อกันมากสุด อยู่ที่ 2 เกมติดต่อกัน และทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 18 ปี ที่ยิงแฮตทริกได้ในการเจอกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด คนสุดท้ายที่ทำได้นั้นคือ โรนัลโด้ โรซาริโอ้ หรือ โรนัลโด้ (บราซิล) ที่เคยยิงแฮตทริกใส่ยูไนเต็ด ในเกม ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ที่สนามแห่งนี้ในเดือน เมษายนปี 2003


ขณะเดียวกันยังเป็นประตูที่ 105 ของเขาในการยิงประตูในลีกทำให้ ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดแซงหน้า ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ตำนานหัวหอก "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ซัดไป 104 ลูก มิหนำซ้ำ หัวหอกชาวอียิปต์ ยังจัดการยิงประตูลูกที่สองของเขาในเกมนี้ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก ทำให้ ลิเวอร์พูล บุกนำเจ้าบ้านด้วยสกอร์ 4-0 และทำแฮตทริกช่วงต้นครึ่งหลังช่วยให้ "เดอะ เร้ดส์" นำห่าง 5-0 ทำให้ตอนนี้ ซาลาห์ ซัดในลีกไปแล้ว 107 ประตู


ที่มาภาพ : AFP

3. การเปลี่ยนตัวของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

หลังจากที่โดน ลิเวอร์พูล ออกนำไปก่อนในช่วงครึ่งแรก 4-0 เริ่มเกมในครึ่งหลัง โซลชา เปลี่ยนตัวสำรองคนแรก ส่ง ปอล ป็อกบา ลงมาแทนที่ เมสัน กรีนวู้ด ในตำแหน่งปีกขวา ซึ่งตั้งใจจะให้ลงมาสร้างสรรค์เกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นานเดส หลังจากนั้น ป็อกบา ทำบอลเสียกลางสนาม และส่งผลให้ทีมเสียประตูที่ 5 หลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหลือผู้เล่นเพียง 10 คน จากจังหวะที่ บรูโน่ จ่ายบอลคืนให้ ป็อกบา ด้วยน้ำหนักที่เบา และทำให้ต้องสไลด์ไปเอาบอล ผู้ตัดสินดู VAR ควักเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามไป ทำให้ โซลชา ต้องแก้เกมอีกครั้ง โดยส่งเอา เอดิสัน คาวานี่ ลงมาแทน บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่เล่นไม่ออกในเกมนี้ และส่งเอา ดิโอโก้ ดาโลท์ ลงมาแทน มาร์คัส แรชฟอร์ด


จากการเปลี่ยนตัวในครั้งนี้ ทำเอาแฟนบอลงงกันไปตามๆ กัน คำถามแรกที่อยากถามคือ ป็อกบา โดนใบแดง ถอดบรูโน่ ถอดแรชฟอร์ด ออกจากสนาม แล้วใครจะสร้างสรรค์เกมให้กับศูนย์หน้าของทีม ซึ่งการเปลี่ยนตัวของโซลชาในครั้งนี้ คือให้ ดาโลท์ ไปยืนทางซ้ายช่วย ลุค ชอว์ ปิดพื้นที่เพื่ไม่ให้ซาลาห์เล่นง่าย แล้วเอาคาวานี่ยืนทางขวาตอนเล่นเกมรับ เพื่อช่วย วาน บิสซาก้า ปิดพื้นที่ นั้นหมายความว่า โซลชา ไม่ต้องการเสียประตูเพิ่มเติม และไม่คิดที่จะเอาประตูคืนเลย


ที่มาภาพ : AFP

4. ปฏิกิริยาของนักเตะปีศาจแดง

ในเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยออกนำอย่างรวดเร็วและในช่วงกลางของครึ่งแรก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดอาการฟิวขาด หัวเสียจนทำให้เขาระบายอารมณ์ที่เกรียวกราดออกมาด้วยการทำฟาวล์ เคอร์ติส โจนส์ และเตะใส่ขณะที่ผู้เล่นดาวรุ่งหงส์แดงนอนอยู่ที่พื้น นั่นทำให้รู้เลยว่า โรนัลโด้ กำลังโมโหอย่างสุดขีดถึงขั้นคุมอารมณ์ไม่อยู่ เพราะเขาไม่เคยเสนอพฤติกรรมแบบนี้ออกมาให้เห็นมากนัก


และการลงสนามมาของ ปอล ป็อกบา ถ้าหากใครได้ชมถ่ายทอดสดและสังเกต ป็อกบา แววตาของเขาแสดงความผิดหวังสุดๆ หลังไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นผู้เล่น 11 ตัวจริงในเกมนี้ เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาในช่วงครึ่งหลังและทำเสียบอลจนเป็ต้นเหตุให้เสียประตูที่ 5 รวมไปถึงทำฟาวล์ใส่นาบิ เกอิต้า จนทำให้เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไปด้วย หลังจากที่อยู่ได้เพียง 15 นาที เกมนี้อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาก็ได้ในเรื่องของการพิจารณาสัญญาฉบับใหม่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะดูแล้วนักเตะคงจะหมดใจกับเหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นได้


ที่มาภาพ : AFP

5. หมดเวลาของโซลชาแล้วหรือยัง

ผลงานของ โซลชา สำหรับโปรแกรมสุดโหดในเดือนตุลาคม-พฤสจิกายน เขาพาทีมแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 4-2, ชนะ อตาลันต้า 3-2 และแพ้ลิเวอร์พูล 5-0 เกมในพรีเมียร์ลีกยังไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยแม้เพียงแต้มเดียว และรูปแบบการเล่นในระบบ 4-2-3-1 ก็เป็นรูปแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมและแปลกใหม่ จนทำให้คู่แข่งเริ่มจะจับทางได้ และในขณะนี้ แฮชแท็กสุดฮิตอย่าง #OleOut ก็ยังติดขึ้นเทรนด์ทวิตอันดับ 1 ในเมืองไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวจากหลายสำนักที่ระบุว่าบอร์ดบริหาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงไว้วางใจให้ โซลชา ทำหน้าที่ก่อร่างสร้างทีม "ผีแดง" ต่อไป เพราะเชื่อมั่นว่านี่คือ "คนที่ใช่" ที่จะนำสโมสรกลับสู่ความยิ่งใหญ่


แต่ ณ ตอนนี้ เหตุการณ์เริ่มไม่แน่ไม่นอนแล้ว ทางด้านร้านรับพนันที่ถูกกฏหมายในอังกฤษได้ตัดสินใจหั่นอัตราต่อรองสำหรับ โซลชา จะโดนสโมสรสั่งปลดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเขาขึ้นเป็นอันดับ 1 และร้านรับพนันจะจ่ายเพียง 1/5 หากโซลชาโดนสั่งปลด

ข่าวที่คุณอาจสนใจ
TOP NEWS
  • TODAY
  • WEEK
  • MONTH