Football
โหมโรงก่อนศึกผ่าเมือง 'แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้' จะออกสีอะไร ?

โหมโรงก่อนศึกผ่าเมือง 'แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้' จะออกสีอะไร ?

โหมโรงก่อนศึกผ่าเมือง 'แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้' จะออกสีอะไร ?

สุดสัปดาห์นี้ศึกดาร์บี้แมตช์ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง กับศึกผ่าเมือง แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในมุมสีฟ้า ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ มุมสีแดง อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ถือเป็นอีกหนึ่งดาร์บี้แมตช์ ที่ได้รับการยกย่องเรื่องความเดือดและอารมณ์ร่วมของแฟนๆที่เข้ามาชมเกม รวมไปถึงรากเหง้าของฟุตบอลที่สาวกทั้งสองสีแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ รบราฆ่าฟันกันมาอย่างยาวนาน


ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสโมสรในยุค 1880 แมนฯ ซิตี้ ที่ยังคงใช้ชื่อ เซนต์ มาร์คส์ (เวสต์ กอร์ตัน) ออกมาเยือนสนามที่ นอร์ธ โร้ด ซึ่งเป็นของ นิวตัน ฮีธ ทีมปัจจุบันที่รู้จักกันในชื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด แมตช์วันที่ 12 พฤศจิกายน 1881 ซึ่งชนะนิวตัน ฮีธ 3-0 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของดาร์บี้ในตำนานจนถึงปัจจุบัน


หลังจากที่เปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พาทีมผูกขาดคว้าแชมป์มาอย่างยาวนาน จะมีเพียง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อาร์เซนอล และ เชลซี เท่านั้น ที่สอดแทรกมาแย่งแชมป์ได้บ้าง จนกระทั่ง ปี 2007 ช่วงปลายยุคที่ เฟอร์กี้ คุมทัพ ปีศาจแดง ครองความยิ่งใหญ่ แบบไร้เทียมทานด้วยความคว้าแชมป์ลีก 3 ฤดูกาลติดต่อกัน


หันมามองกันที่ฝั่งสีฟ้าของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากที่ต้องกระเสือกกระสนขึ้นๆลงๆอยู่พักใหญ่ พวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อถูก คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เข้าซื้อกิจการพร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณเสริมทัพก้อนโต


นั่นนับเป็นก้าวแรกที่ เรือใบสีฟ้า ได้ลืมตาอ้าปาก คว้าตัวผู้เล่นระดับชั้นนำมาร่วมทีมไม่ว่าจะเป็น โรบินโญ่ ,เอลาโน่ ,เวดราน ชอร์ลูก้า ,มาร์ติน เปตรอฟ ,ฟิลิเป้ ไคเซโด้ ,โรลันโด้ เบียงคี่ และอีกมากมาย ก่อนที่ในปีต่อมาจะถูกกลุ่มทุนอาบูดาบีนำโดย คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค จากสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ เข้าเทคโอเวอร์ด้วยเม็ดเงินมหาศาล หลังจากนั้นก็ เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอย่างเป็นทางการของทัพ เรือใบสีฟ้า หลังจากนั้นความยิ่งใหญ่และบารมีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้น ไทม์ไลน์ความสำเร็จของพวกเขา เริ่มสวนทางกับความสำเร็จของ ปีศาจแดง ดังเช่นไทม์ไลน์ต่อไปนี้

ฤดูกาล 2006-07

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 89 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 14 เก็บไป 42 แต้ม

ยุคเรืองของทัพ ปีศาจแดง ที่ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ทำทีมได้อย่างไร้เทียมทาน คว้าแชมป์เป็นวา่เล่น ในขณะที่ฝั่งของ ซิตี้ เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่เริ่มขึ้น พตท.ทักษิณ เทคโอเวอร์ สโมสร

ฤดูกาล 2007-08

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 87 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 9 เก็บไป 55 แต้ม

ยังเป็นยุคเรืองของ ปีศาจแดง โดยพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองเป็นปีที่ ติดต่อกัน ส่วน เรือใบสีฟ้า ยังคงสาละวนอยู่กับการเสริมทีมทั้งโค้ชอย่าง สเวน โกรัน อีริคสันส์ และ มาร์ค ฮิวสจ์ รวมไปถึงเริ่มดูดผู้เล่นชั้นนำมาร่วมทีมไม่ว่าจะเป็น โรบินโญ่ ,เอลาโน่ ,มาร์ติน เปตรอฟ ,โรลันโด้ เบียงคี่

ที่มาภาพ : AFP

ฤดูกาล 2008-09

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 90 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 10 เก็บไป 50 แต้ม

แม้ว่าอาณาจักรของ ปีศาจแดง จะยังคงแข็งแกร่ง และคว้าแชมป์ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 แต่สำหรับฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อพตท.ทักษิณ ขายทีมให้กลุ่มทุนของ ยูเออี นำโดย คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค พร้อมกับดึง โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนวือชาวอิตาเลียนมาคุมทีม

ฤดูกาล 2009-10

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 เก็บไป 85 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 5 เก็บไป 67 แต้ม

เฟอร์กี้ พา ปีศาจแดง จบที่รองแชมป์ ในขณะที่แชมป์พรีเมียร์ลีก ตกเป็นของ เชลซี ที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม ซึ่ง ณ เวลานั้น เรือใบสีฟ้า ก็เริ่มก่อร่างสร้างอาณาจักรของตัวเอง ด้วยการทุ่มทุนสร้างทีมคว้าตัวซูเปอร์สตาร์มาร่วมทีมมากมายทั้ง โคโล่ ตูเร่ ,คาร์ลอส เตเบซ ,เอ็มานูเอล อเดบายอร์ ,ปาทริค วิเอร่า และ โรเก้ ซานตา ครูส ฯลฯ

ฤดูกาล 2010-11

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 80 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 3 เก็บไป 71 แต้ม

เป็นฤดูกาลที่ เฟอร์กี้ พาทีมทวงแชมป์คืนจาก เชลซี ของ มูรินโญ่ ในขณะที่ ซิตี้ ณ ตอนนั้นพวกเขากลายสภาพเป็นทีมลุ้นแชมป์หน้าใหม่ และทุ่มเงินคว้าตัวผู้เล่นชั้นนำมากมายทั้ง เสริม เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ,ดาบิด ซิลบา ,ไน เจล เดอยอง ,ปาโบล ซาบาเลต้า ซาบาเลต้า,เอดิน เชโก้ ,มาริโอ บาโลเตลลี่ ,ยาย่า ตูเร่ ฯลฯ

ที่มาภาพ : AFP

ฤดูกาล 2011-12

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 เก็บไป 89 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 89 แต้ม

นับเป็นฤดูกาลที่ เรือใบสีฟ้า ได้ลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว และต้องมาตัดสินแชมป์กันในเกมสุดท้าย ก่อนที่ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ จะจารึกปผระวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ เรือใบสีฟ้า ด้วยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้แบบช็อคโลกพร้อมกับคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองอีกรายการ ซึ่งนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ ซิตี้ื เลยก็ว่าได้

ฤดูกาล 2012-13

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 89 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 2 เก็บไป 78 แต้ม

ปีสุดท้ายของ ทั้ง เฟอร์กี้ และ มันชินี่ โดยปีนี้เป็น ปีศาจแดง ที่ทิ้งทวนคว้าแชมป์ ด้วยการทิ้งขาด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปถึง 11 แต้ม และหลังจากปีนี้ ยูไนเต็ด ก็ไม่เคยกลับมาสัมผัสโทรฟี่พรีเมียร์ลีก อีกเลย

ฤดูกาล 2013-14

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 7 เก็บไป 64 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 86 แต้ม

เดวิด มอยส์ กุนซือชาวสกอตแลนด์ ที่ เฟอร์กี้ ไว้ใจแนะนำให้มารับงานต่อ แต่ผลงานกลับออกทะเล ส่วน ซิตี้ ได้ มานูเอล เปเยกรินี่ เข้ามารับงานและสามารถพา เรือใบสีฟ้า ทวงความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าดับเบิลแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ

ฤดูกาล 2014-15

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 4 เก็บไป 70 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จับอันดับ 2 เก็บไป 79 แต้ม

ปีศาจแดง หันมาใช้ หลุยส์ ฟาน กัล เข้ามากอบกู้สถานการณ์แต่ผลงานก็ยัง 3 วันดี 4 วันไข้ ในขณะที่ ซิตี้ ในมือของ มานูเอล เปเยกรินี่ จบฤดูกาลด้วยรองแชมป์ ส่วนแชมป์ตกเป็นของ เชลซี ของ มูรินโญ่ และยังคว้าแชมป์ลีก คัพ ไดด้วย

ฤดูกาล 2015-16

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 5 เก็บไป 66 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 4 เก็บไป 66 แต้ม

หากยังจำกันได้เป็นฤดูกาลเทพนิยาย จิ้งจอกสยาม ที่ เลสเตอร์ ซตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ส่วน ปีศาจแดง จบอันดับ 5 เรือใบสีฟ้า จบอันดับที่ 4

ที่มาภาพ : AFP

ฤดูกาล 2016-17

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 6 เก็บไป 69 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 3 เก็บไป 78 แต้ม

โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามารับไม้ต่อจาก ฟาน กัล โดยสามารถพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งยูโรป้าลีก และลีก คัพ ส่วนแชมป์พรีเมียร์ลีก กลับไปอยู่ที่ เชลซี ที่ได้ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาคุมทีม ส่วน ซิตี้ ก็ได้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาและใช้เวลาปรับจูนทีมพักใหญ่ในซีซั่นนี้ จึงทำให้พวกเขาจบอันดับ 3 ของตารางในปีนั้น

ฤดูกาล 2017-18

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 เก็บไป 81 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 100 แต้ม

หลังจากที่ ซิตี้ ปรับจูนทีมจนเข้าที่ ทีมของ เป๊ป ก็กลายเป็นยอดทีมที่เพรียบพร้อมผู้เล่นระดับคุณภาพในทุกตำแหน่ง เรือใบสีฟ้า โกยไปถึง 100 แต้ม ยิงไปถึง 106 ประตู พร้อมกับคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาสู่อ้อมอก ในขณะที่ ปีศาจแดง จบด้วยรองแชมป์แม้จะเก็บไปถึง 81 แต้ม

ฤดูกาล 2018-19

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 6 เก็บไป 66 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 98 แต้ม

เป็นครึ่งฟดูกาลสุดท้ายของ มูรินโญ่ กับ ปีศาจแดง ก่อนที่จะเข้าสู่ยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งปีนั้น แมนฯ ยู จบที่ 6 ส่วน ซิตี้ ยังคงร้อนแรง คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ทั้ง พรีเมียร์ เอฟเอ ลีก คัพ แบบไร้เทียมทาน

ฤดูกาล 2019-20

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 3 เก็บไป 66 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ จบอันดับ 2 เก็บไป 81 แต้ม

ฤดูกาลเต็มๆของ โซลชา ลูกทีมของเขาทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ท่ามกลางปัญหามากมาย ในขณะที่ ซิตี้ จบด้วยรองแชมป์ แต่ก็ยังยิงไปอีก 102 ประตูบวกกับแชมป์ลีก คัพ โดยปีนั้นเป็น ลิเวอร์พูล ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ฤดูกาล 2020-21

แมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 2 เก็บไป 74 แต้ม : แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เก็บไป 86 แต้ม

หลังจากที่เสียแชมป์ให้ ลิเวอร์พูล ทีมของ เป๊ป กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้ภายในปีเดียว ด้วยการคว้าแชมป์ลีก ทิ้งห่างอันดับสองอย่างอริร่วมเมืองอยู่ถึง 12 แต้ม รวมไปถึง ลีก คัพ สมัยที่ 8 ส่วน ปีศาจแดง ยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ก็ยังอุตส่าจบเป็นรองแชมป์ ทั้งในพรีเมียร์ลีก และศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก


ที่มาภาพ : AFP


สำหรับเกมแรกที่พบกันในฤดูกาลนี้ ณ สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด คนปรากฏว่า ปีศาจแดง ที่มี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คุมทีมพ่ายแพ้คารังต่อคู่อริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 0-2 ด้วยรูปเกมที่ต่อกรกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เลย


สถิติของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดกุนซือชาวสเปนยาเมื่อต้องพาต้นสังกัดมาพบกับทัพปีศาจแดงโดยผลงานของครูแดนกระทิงดุรายนี้นับว่ายอดเยี่ยมเมื่อเจอกับ ยูไนเต็ด โดยนับตั้งแต่ปี 2009 เป๊ป พาทีมพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 19 เกม ชนะได้ 10 นัด เสมอ 3 แพ้ 6 ยิงได้ 28 และเสียไป 18 ประตู


โดย บาร์เซโลนา ในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในช่วงระหว่างปี 2009-2011 สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในนัดชิงชนะเลิศของ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ถึง 2 ครั้งใน 3 ปีด้วยกัน


ถึงตอนนี้มีการเปลี่ยนเแปลงครั้งใหญ่ในรั้ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปแล้วจากการเข้ามาของ ราล์ฟ รังนิก ที่เข้ามารับบทกุนซือขัดตาทัพจนจบฤดูกาลส่วนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งต้องรอในช่วงซัมเมอร์นี้ว่าจะได้ใครมาเป็นกุนซือถาวร


ส่วนการเปลี่ยนแปลงของพลพรรค ปีศาจแดง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีหรือร้าย ต้องรอชมในศึก แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ครั้งแรกของ เดอะ โปรเฟสเซอร์ ในวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม นี้ เวลา 23.30 ทางช่อง True Premier Football HD1 และ True Premier Football HD2

ข่าวที่คุณอาจสนใจ
TOP NEWS
  • TODAY
  • WEEK
  • MONTH