Football
ย้อนรอยการปาดหน้าคว้าแชมป์ เกม 'พรีเมียร์ลีก' นัดสุดท้าย

ย้อนรอยการปาดหน้าคว้าแชมป์ เกม 'พรีเมียร์ลีก' นัดสุดท้าย

ย้อนรอยการปาดหน้าคว้าแชมป์ เกม 'พรีเมียร์ลีก' นัดสุดท้าย

และแล้วการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2021-22 ก็ต้องลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล หลังจากที่ ลิเวอร์พูล บุกไปชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-1 เมื่อวันอังคารที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จนทำให้ตอนนี้ "หงส์แดง" ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นจ่าฝูงอยู่เพียง 1 คะแนน

เรือใบสีฟ้า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมความได้เปรียบในการล่าแชมป์ แต่หากยังจำกันได้ ในอดีตที่ผ่านมามีหลายครั้งหลายคราที่แชมป์ต้องเปลี่ยนมือในช่วงท้ายฤดูกาล ดังเช่นเมื่อราวๆ 10 ปีที่แล้ว ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าคู่ปรับร่วมเมื่ออย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมานอนกอดในเกมนัดสุดท้าย ทำเอา แฟน ปีศาจแดง หัวใจสลายมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวแบบเกิดขึ้นเป็นประจำในโลกของฟุตบอล และหากจะพูดเกมดราม่านัดสุดท้าย ก็คงจะนึกได้อยู่หลายเกม ดังนั้นขอย้อนเวลาไปเล่าเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับ เกมนัดสุดท้ายในความทรงจำกัน


ที่มาภาพ : AFP

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2011-12

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี โรแบร์โต้ มันชินี คุมทีมอยู่ในเวลานั้น เคยบอกยอมแพ้การไล่ล่าแชมป์กับ อริร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว ด้วยจากการที่มีแต้มตามหลังถึง 8 แต้ม แต่เรื่องราวดราม่าก็เกิดขึ้น เมื่อ ปีศาจแดง แพ้ให้กับ วีแกน และเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ทั้งที่นำ 4-2


ส่วนรองจ่าฝูงอย่าง เรือใบสีฟ้า ก็ปราบ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำแต้มแซง จนทำให้สถานการณ์ต้องกลับมาลุ้นแชมป์กันในเกมสุดท้าย โดยที่หาก ซิตี้ เก็บสามแต้มได้เหนือ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ ได้ก็จะเป็นแชมป์ทันที แต่กลายเป็น คิวพีอาร์ ดันบุกมานำ เรือใบสีฟ้า 2-1 ซึ่งในโมเม้นต์เดียวกันปีศาจแดง เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ไป 1-0 และเกมจบลงก่อน ถึงตอนนั้นเชื่อว่าแฟนๆ ปีศาจแดง น่าจะภาวนาไม่ให้เกิดอะไรขึ้นที่ เอติฮัต สเตเดี้ยม


และสุดท้ายสิ่งที่แฟนๆ ยูไนเต็ด ไม่ต้องการให้เกิด มันดันเกิดขึ้นมาจริงๆแบบบ้าบอคอแตก เมื่อ ซิตี้ พลิกยิงแซง 2 ประตูในช่วงท้าย โดยได้ประตูชัยจาก เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ จนเป็นที่มาของรูปปั้นหน้าสนาม เอติฮัต สเตเดี้ยม ในวาระครบรอบ 10 พอดิบพอดี มันโช่ คว้าแชมป์เหนือทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วยลูกได้เสียที่ดีกว่า หลังมีแต้มเท่ากันที่ 89 คะแนน ซึ่งโมเม้นต์วันนั้นน่าจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของศึกพรีเมียร์ลีก ไปอีกนานแสนนาน


ที่มาภาพ : AFP

อาร์เซนอล 1997-98

ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีทองของ อาร์เซนอล ที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ทั้ง พรีเมียร์ และ เอฟเอ คัพ หากลองย้อนกลับไปผู้เล่นตัวหลักของ อาร์เซนอล ในเวลานั้นก็มี เดวิด ซีแมน, ลี ดิกซัน, สตีฟ โบลด์, โทน อดัมส์, ไนเจล วินเทอร์เบิร์น, เรย์ พาร์เลอร์, เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ปาทริก วิเอรา, มาร์ก โอเวอร์มาร์ส, เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ เอียน ไรท์ ล้วนแต่เป็นยอดนักเตะทั้งนั้น


โดยในช่วงปีใหม่ อาร์เซนอล มีแต้มตามหลัง ปีศาจแดง อยู่ถึง 11 แต้ม แต่พวกเขาก็ใช้ฟอร์มการเล่นอันสุดยอดภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ โกยแต้มแซง แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงท้ายฤดูกาล และปาดหน้าคว้าแชมป์ด้วยการมีแต้มมากกว่า ยูไนเต็ดเพียงแต้มเดียวเท่านั้น ซึ่งเหตุผลที่ทีมของ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน พลาดการคว้าแชมป์ นั่นก็เพราะว่า ดันไปสะดุดพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน และ ซันเดอร์แลนด์ ในช่วงท้ายฤดูกาลนั่นเอง


แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1994-95

ศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1994-95 เป็นอีกหนึ่งปีที่การตัดสินแชมป์ต้องมาลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล โดยเป็นแย่งแชมป์ระหว่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส จ่าฝูงซึ่งมีอยู่ 89 แต้ม และรองจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี 87 แต้ม เกมนัดสุดท้าย แบล็กเบิร์น ที่มี อลัน เชียร์เรอร์ ,คริส ซัตตัน ,ทิม เชอร์วู้ด เป็นตัวชูโรง บุกเยือน ลิเวอร์พูล ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด บุกเยือน เวสต์แฮม ซึ่งทัพ ปีศาจแดงจะพลิกสถานการณ์มาคว้าแชมป์ได้ก็ต่อเมื่อ ต้องบุกไปชนะเวสต์แฮม และลุ้นให้ แบล็กเบิร์น แพ้ ลิเวอร์พูล


ก่อนลงสนามมีประเด็นว่า ลิเวอร์พูลจะเล่นเต็มที่หรือไม่ เพราะถ้าพวกเขาปราบทีม กุหลาบไฟ ได้สำเร็จ อาจเป็นการมอบแชมป์อริอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สรุปสุดท้ายเกมนั้น ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ แบล็กเบิร์น 2-1 แต่ผลที่สนาม อัพตัน ปาร์ก แมนฯ ยูไนเต็ด กลับทำได้แค่เสมอ เวสต์แฮม 1-1


ส่งผลให้ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ตกอยู่ในมือของ กุหลาบไฟ ที่มี เคนนี่ ดัลกลิช เป็นผู้จัดการทีม อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น แบล็คเบิร์น ตกชั้นในอีก 4 ปีต่อมา และก็เลื่อนชั้น-ตกชั้น ขึ้นๆลงๆอยู่เป็นระยะ โดยฤดูกาลนี้ แบล็คเบิร์น จบอันดับ 8 ของตารางในเดอะ แชมเปี้ยนสชิพ อังกฤษ


สำหรับเกมนัดสุดท้ายของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021-22 วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.นี้ทุกทีมจะลงสนามพร้อมกันในเวลา 4 ทุ่มตรง โดย "หงส์แดง" จะเปิดรัง แอนฟิลด์ รับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ส่วน "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านเจอ แอสตัน วิลล่า ที่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด คุมทีม


ที่มาภาพ : AFP


หากทีมของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า เอาชนะ สิงห์ผงาด ก็จะได้แชมป์ทันทีไม่ว่าผลของคู่ ลิเวอร์พูล จะออกเป็นอย่างไร แต่ถ้า แมนฯ ซิตี้ แพ้หรือเสมอ แล้ว หงส์แดง" ชนะก็จะเป็นทีมของ คล็อปป์ ที่แซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ ส่วนกรณีเสมอทั้งสองทีมก็เป็น เรือใบสีฟ้า ได้แชมป์


อีกหนึ่งเงื่อนที่ไม่มีใครคิดถึง นั่นก็คือเงื่อนไขที่จะทำให้ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต้องมาเตะเพลย์ออฟหาแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้กัน โดยแม้ว่าจะเป็นไปได้ยากมากๆในทางปฏิบัติ แต่สำหรับทางทฤษฎีมันยังพอมีความเป็นไปได้ เพราะต้องให้ เรือใบสีฟ้า แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-6 และ หงส์แดง เสมอ วูล์ฟส์ 5-5 ในนัดสุดท้าย หากมันเกิดขึ้นจริงๆ จะทำให้ทั้งคู่มีแต้ม, ผลต่างประตูได้เสีย, ประตูได้, ประตูเสีย และเฮดทูเฮด เท่ากันหมดทุกประการ


เฮดทูเฮดของทั้ง ลิเวอร์พูล และ ซิตี้ เท่ากันจากการเสมอ 2-2 ทั้ง 2 นัด เท่ากับว่า เท่ากัน ส่วนผลต่างประตูได้เสียของ แมนฯ ซิตี้บวก 72 ประตู (ได้ 96 เสีย 24) ส่วน ลิเวอร์พูล มีผลต่างประตูได้เสียบวก 66 ประตู (ได้ 91 เสีย 25)


ดังนั้นผลการแข่งขันในนัดสุดท้ายออกมาเป็น แมนฯ ซิตี้ แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-6 และ ลิเวอร์พูล เสมอ วูล์ฟส์ 5-5 ก็จะทำให้ทั้งสองทีมมีผลต่างประตูได้เสียบวก 66 ประตูได้ 96 ประตูเสีย 30 มี 90 คะแนนเท่ากัน และต้องมาตัดสินแชมป์ด้วยการเล่นเกมเพลย์ออฟในที่สุด ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ต้องมาเพลย์ออฟตัดสินแชมป์ แต่สุดท้ายโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมีน้อยนิด จนแทบไม่มีใครคิดถึงเงื่อนไขนี้กันเลย


โปรแกรมนัดสุดท้ายของศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ เตะเวลา 22.00 น. ทุกคู่

ลิเวอร์พูล - วูล์ฟแฮมป์ตัน ถ่ายทอดสดช่อง True Premier Football 1

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - แอสตัน วิลลา ถ่ายทอดสดช่อง True Premier Football 2

เชลซี - วัตฟอร์ด ถ่ายทอดสดช่อง True Premier Football 3

อาร์เซนอล - เอฟเวอร์ตัน ถ่ายทอดสดช่อง True Premier Football 4

นอริช ซิตี้ - ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ถ่ายทอดสดช่อง True Premier Football 5

คริสตัล พาเลซ - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถ่ายทอดสดช่อง True Sports 2

ไบรท์ตัน - เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ถ่ายทอดสดช่อง True Sports 3

เบรนท์ฟอร์ด - ลีดส์ ยูไนเต็ด ถ่ายทอดสดช่อง True Sports 4

เลสเตอร์ ซิตี้ - เซาแธมป์ตัน ถ่ายทอดสดช่อง True Sports 7

เบิร์นลีย์ - นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ถ่ายทอดสดช่อง True Gaming Up

ข่าวที่คุณอาจสนใจ
TOP NEWS
  • TODAY
  • WEEK
  • MONTH